2. น้ำมันหอมระเหย (Essential Oils)
|
Angelica Root (ตังกุย) |
Botanical Name : Angelica Archangelica
Origin : Hungary |
คุณสมบัติ : ช่วยให้จิตใจเข้มแข็ง กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ |
|
Basil Sweet (โหระพา) |
Botanical Name : Ocimum basilicum
Origin : ItalyNote |
คุณสมบัติ : ใช้บรรเทาผิวเป็นสิว ผิวติดเชื้อ ใช้ผสมน้ำมันนวดคลายกล้ามเนื้อ สูดดมบรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน ช่วยให้นอนหลับง่าย ไม่ควรใช้เมื่อตั้งครรภ์ |
|
Benzoin Siam (กำยานสยาม) |
Botanical Name : Styrax tonkinesis
Origin : Cambodia |
คุณสมบัติ : มีกลิ่นนุ่มหวานละมุน เหมาะสำหรับใช้ตรึงกลิ่นและมักใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตน้ำหอม เพราะช่วยให้กลิ่นคงตัว และเป็นสารกันเสียได้ดี |
|
Bergamot Calabrian (มะกรูดคาเลเบรียน) |
Botanical Name : Citrus bergamia
Origin : Italy |
คุณสมบัติ : กลิ่นหอมสดชื่นแนวฟรุ้ทตี้ ใช้บรรเทาผิวหนังที่เป็นสิว เหมาะสำหรับผิวมันและจุดด่างดำ บรรเทาอาการผิวติดเชื้อ และช่วยให้จิตใจแจ่มใส |
|
Black Papper (พริกไทยดำ) |
Botanical Name : Pier Nigrum
Origin : India |
คุณสมบัติ : มีกลิ่นฉุน อันเนื่องมาจากสาร Piperine - Piperaamine มีคุณสมบัติในการล้างพิษ ใช้สูดดมเพื่อช่วยให้หายใจได้สะดวก |
|
Cajeput (เสม็ดขาว) |
Botanical Name : Melaleuca Cajeputi
Origin : Indonesia |
คุณสมบัติ : ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาอาการอักเสบ และการปวดจากแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้ผสมน้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ |
|
Cananga (กระดังงาไทย) |
Botanical Name : Cananga Odorata
Origin : Indonesia |
คุณสมบัติ : กลิ่นหอมเย้ายวน จึงมักใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอางค์และน้ำหอม ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ใช้นวดตัวจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต |
|
Cananga (กระดังงาไทย) |
Botanical Name : Cardamomum Linn
Origin : India |
คุณสมบัติ : มีกลิ่นหอมฉุนคล้ายการบูร ช่วยกระตุ้นพลังงาน ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย แต่ข้อควรระวังคือ ทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวได้ง่าย |
|
Carot seed (เมล็ดแครอท) |
Botanical Name : Daucus carota
Origin : France |
คุณสมบัติ : มีคุณสมบัติทำความสะอาดและช่วยปรับสภาพผิว ใช้ผสมกับน้ำมันนวดช่วยบรรเทาผิวแห้ง เส้นเลือดฝอยแตกและรอยเหี่ยวย่น ช่วยให้ผิวนุ่มและดูอ่อนเยาว์ |
|
Cedarwood Atlas Morocco (ซีดาร์วูดแอทลาสโมรอคโค) |
Botanical Name : Cedarus Atlantica
Origin : Morocco |
คุณสมบัติ : กลิ่นคล้ายไม้จันหอม มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค กระตุ้นพลังงาน ลดความมันของหนังศีรษะและเส้นผม ขจัดรังแค ไม่ควรใช้เมื่อมีครรภ์ |
|
Celery Seed (เมล็ดขึ้นฉ่ายฝรั่ง) |
Botanical Name : Apium graveolens
Origin : India |
คุณสมบัติ : ใช้เป็นส่วนผสมของการทำน้ำหอม เครื่องสำอางค์ สบู่ เครื่องดื่ม ใช้นวดช่วยบรรเทาโรคไขข้อ บรรเทาปวดกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนโลห |
|
Chamomile German Blue (คาร์โมมายด์เยอรมันบลูอียิปต์) |
Botanical Name :Matricaria chamomilla
Origin : Egypt |
คุณสมบัติ : มีสารสำคัญ คือ Chamazulene ลดการอักเสบของเหงือก เยื่อบุช่องปาก ผิวหนัง รักษาสิว แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ผดผื่น รักษาเส้นผม ลดความตึงเครียด |
|
Cinamon Bark (เปลือกอบเชย) |
Botanical Name : Cinnamomum zeylanicum
Origin : France |
คุณสมบัติ : มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ แต่ไม่ควรใช้กับผิวหนังโดยตรง เพราะจะทำให้ระคายเคืองผิว ใช้สูดดมบรรเทาอาการไอ และโรคระบบทางเดินหายใจ |
|
Citronella (Thai) (ตะไคร้บ้านไทยหอม) |
Botanical Name : Cymbopogon nardus
Origin : Thailand |
คุณสมบัติ : มักใช้ในการปรุงแต่งกลิ่นเครื่องหอมและเครื่องสำอางค์โดยตรง หรือใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเครื่องหอมอื่นๆ ช่วยกระตุ้นพลังงาน ลดอาการซึมเศร้า มีสารไล่แมลง |
|
Clary Sage (แคลี่เซจฝรั่งเศส) |
Botanical Name : Salvia sclaria
Origin : France |
คุณสมบัติ : กลิ่นช่วยให้ลดความตึงเครียด ลดความมันของผม กระตุ้นการงอกของเส้นผม เสริมสร้างเซลล์ผิว ลดอาการวูบในวัยหมดประจำเดือน ห้ามใช้กับสตรีมีครรภ์ |
|
Clementine (ส้มเคลเมนทาย) |
Botanical Name : Citrus arvensis
Origin : Italy |
คุณสมบัติ : เป็นพืชตระกูลซทรัส มีผลในการกระตุ้นพลังงาน ปรับสภาพจิตใจ บรรเทาอาการซึมเศร้าได้ดี ผสมในน้ำมันนวดเพื่อขจัดเซลลูไลต์ กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต |
|
Clove bud (ดอกก้านพลู) |
Botanical Name : Eugenia caryophyllata
Origin : India |
คุณสมบัติ : ใช้แต่งกลิ่น ป้องกันการหืนของน้ำมันและไขมัน มีสารต้านอนมูลอิสระ บรรเทาอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยให้รู้สึกอบอุ่น คลายความเหนื่อยล้า แต่ระคายเคืองผิวได้ง่าย |
|
Coriander (เมล็ดผักชี) |
Botanical Name : Coriandrum sativum
Origin : Egypt |
คุณสมบัติ : น้ำมันสีเหลืองอ่อน มีคุณสมบัติทำความสะอาดผิวให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ลดความกังวล |
|
Cumin (ยี่หร่า / เทียนขาว) |
Botanical Name : Cuminum cyminum
Origin : Egypt |
คุณสมบัติ : นิยมใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์ ยาและน้ำหอมมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านเชื่อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อโรคเมื่อใช้กับผิวหนัง ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด |
|
Cypress (ไซเพรส) |
Botanical Name : Cupressus sempervirens
Origin : France |
คุณสมบัติ : มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค บรรเทาอาการปวด ให้ความรู้สึกอบอุ่น ปรับสภาพผมมัน ป้องกันรังแค ไม่ควรใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ |
|
Dill Seed (ผักชีลาว) |
Botanical Name : Anethum graveolens
Origin : Hungary |
คุณสมบัติ : มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย กระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว ช่วยลดก๊าซในกระเพาะอาหาร |
|
Elemi (เอลมี) |
Botanical Name : Canirum Luzonicum
Origin : France |
คุณสมบัติ : เหมาะกับผิวเหี่ยวย่น ผิวเป็นแผล ผิวติดเชื้อ อักเสบ มีบาดแผล ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ใช้สูดดมบรรเทาโรคระบบทางเดินหายใจ |
|
Eucalyptus (ยูคาลิปตัสไทย) |
Botanical Name : Euclyptus citratus
Origin : Thailand |
คุณสมบัติ : ช่วยให้หายในโล่ง ช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งและมีสมาธิ มีคุณสมบัติในการขจัดแบคทีเรีย ใช้นวดเพื่อช่วยให้สดชื่นและฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย เหมาะกับผิวธรรมดาถึงมัน |
|
Fennel Sweet (เทียนแกลบ) |
Botanical Name :Foeniculum vulgare
Origin : Australia |
คุณสมบัติ : ทำให้รู้สึกสงบ ใช้บรรเทาความเครียดและอาการหายใจติดขัด ใช้ผสมน้ำมันนวดช่วยให้ผิวกระชับและทำให้ผิวอ่อนวัย นวดท้องเพื่อบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ |
|
Frangipani Natural Compound (ลีลาวดี) |
Botanical Name : Plumeria alba
Origin : India |
คุณสมบัติ : ผสมน้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการท้องเสีย โรคผิวหนังอักเสบ ฟกช้ำ และสมานบาดแผล ไม่ควรใช้สำหรับผิวหนังที่แพ้ง่าย |
|
Frankincense (แฟรนคินเซ็นส์) |
Botanical Name : Boswellia carterii
Origin : Ethiopia |
คุณสมบัติ : รักษาผิวแห้ง ชะลอริ้วรอยก่อนวัย แผลเป็น บาดแผล และรอยเหี่ยวย่น บรรเทาปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ช่วยคลายกังวลและทำให้มีสมาธิ |
|
Galbanum (กัลบานัม) |
Botanical Name : Ferula Galbaniflua
Origin : Iran |
คุณสมบัติ : ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย การอักเสบ ใช้ได้ผิวที่เป็นสิว แผลเป็น ผิวเหี่ยวย่น ช่วยบำรุงผิวและทำให้ผิวนุ่ม ช่วยบรรเทาอาการปวด |
|
Geranium (เจอราเนียม) |
Botanical Name : Palargonium graveolens
Origin : Egypt |
คุณสมบัติ : ใช้บรรเทาผิวเป็นสิว ผิวแห้ง หยาบกระด้าง ผิวติดเชื้อ ผิวไหม้แดด ปรับสภาพผิวมัน ผิวแก่เกินวัย ใช้นวดบรรเทาเส้นเลือดฝอยแตก เส้นเลือดขอด มีสารไล่แมลง |
|
Ginger (ขิง) |
Botanical Name : Zingiber officinale
Origin : Indonesia |
คุณสมบัติ : บรรเทาผิวเป็นสิว ใส่แผลฟกช้ำ บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ แก้ทางเดินลมหายใจอักเสบ ต่อต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการงอกของเส้นผม ควรระวังสำหรับผู้ที่ผิวแพ้ง่าย |
|
Grapefruit (เกรฟฟรุท) |
Botanical Name : Citrus paradisi
Origin : France |
คุณสมบัติ : เป็นพืชตระกูลซิทรัส กระตุ้นพลักงาน ปรับสภาพจิตใจ บรรเทาอาการซึมเศร้าได้ดี ผสมในน้ำมันนวดเพื่อขจัดเซลลูไลต์ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด |
|
Immortelle / Helychrisum (อิมเมอร์เทล) |
Botanical Name : Helichrysum augustitolia
Origin : Balkans |
คุณสมบัติ : ใช้ในการบำรุงรักษาผิวหนังที่ติดเชื้อ อักเสบ เป็นแผล ใช้ผสมน้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก ใช้สูดดม บรรเทาโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจและปอด ช่วยในการผ่อนคลายจิตใจ |
|
Jasmin Sambac absolute (มะลิพันธุ์ซัมแบค) |
Botanical Name : Jasminum sambac
Origin : India |
คุณสมบัติ : เป็นดอกมะลิพันธุ์ของไทย มีกลิ่นหอมแรง ควรใช้ในปริมาณต่ำและสตรีมีครรภ์ห้ามใช้ ช่วยบำรุงผิวพรรณ์ เหมาะกับผิวบอบบางและผิวแห้ง |
|
Juniperberry Himalayan (จูนิเปอร์เบอร์รี่) |
Botanical Name : Juniperus communis
Origin : India |
คุณสมบัติ : มีคุณสมบัติทำความสะอาดผิว กลิ่นหอมสดชื่น ช่วยกระตุ้นให้รู้สึกสดชื่น กระตุ้นพลังงาน ผสมกับน้ำมันนวด บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อต่อ |
|
Kaffir Lime peel (ผิวมะกรูดไทย) |
Botanical Name : Citrus hystrix
Origin : Thailand |
คุณสมบัติ : สกัดจากเปลือกหรือผิวของลูกมะกรูดไทย กลิ่นหอมสดชื่น ช่วยทำให้ผมดกดำเป็นเงางาม นิ่มสลวย บรรเทาอาการคันที่หนังศีรษะ บรรเทารังแค เมื่อใช้ทาผิวควรหลีกเลี่ยงแสงแดด |
|
Kaffir Lime Leaves (ใบมะกรูดไทย) |
Botanical Name : Citrus hystrix
Origin : Thailand |
คุณสมบัติ : ใช้บรรเทาผิวหนังที่เป็นสิว เหมาะสำหรับผิวมันและจุดด่างดำ ช่วยรักษาแผลที่ติดเชื้อ สูดดมบรรเทาอาการหวัด บรรเทาอาการเครียด ทำให้จิตใจสดชื่น และมีสารไล่ยุง |
|
Lavandin, Grosso (ลาเวนดิน) |
Botanical Name : Lavandula Hybrida
Origin : France |
คุณสมบัติ : จะมีกลิ่นที่แตกต่างจากน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์ แต่มีคุณสมบัติที่เหมือนกัน คือช่วยในการผ่อนคลาย บรรเทาอาการนอนไม่หลับ บรรเทาอาการปวด ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย |
|
Lavender, angustifolia Premium (ลาเวนเดอร์) |
Botanical Name : Lavandula angustifolia
Origin : Bulgaria |
คุณสมบัติ : ช่วยในการผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ บรรเทาอาการปวด ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใช้โดยตรงกับผิวหนังได้ค่อนข้างปลอดภัย ผู้ที่ความดันต่ำควรใช้อย่างระวัง |
|
Lemon (มะนาวฝรั่ง) |
Botanical Name : Citrus limonum
Origin : Italy |
คุณสมบัติ : บรรเทาผิวเป็นสิว เหมาะกับผิวมัน ช่วยให้ผิวหายหมองคล้ำ ป้องกันและขจัดรังแค ปรับสภาพหนังศีรษะมัน ใช้ผสมกับน้ำมันนวดลดเซลลูไลต์ และบรรเทาโรคข้ออักเสบ |
|
Lemongrass (ตะไคร้บ้านไทย) |
Botanical Name : Cymbopogon citratus
Origin : Thailand |
คุณสมบัติ : บรรเทาผิวเป็นสิว ปรับสมดุลผิวมัน บรรเทาแผลอักเสบ ใช้ผสมน้ำมันนวดคลายการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ สูดดมบรรเทาอาการปวดศีรษะ ให้ความสดชื่นและกระตุ้นพลังงาน |
|
Lime (มะนาวไทย) |
Botanical Name : Citrus anrantifolia
Origin : Italy |
คุณสมบัติ : มะนาวไทยมีสรรพคุณใกล้เคียงกับมะนาวฝรั่ง บรรเทาหวัด เหมาะกับผิวมัน ใช้ผสมน้ำมันนวด นวดกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยให้สดชื่น |
|
Mandarin cold press (ส้มแมนดาริน) |
Botanical Name : Citrus madurensis
Origin : Italy |
คุณสมบัติ : บรรเทาผิวเป็นสิว ผิวหม่นหมอง ปรับสภาพผิวมัน หนังศีรษะมัน แผลเป็นและเนื้อลาย จุดด่างดำ ผิวเหี่ยวย่นและชะลอความแก่ ช่วยให้หลับง่าย คลายกังวล |
|
Marjoram (มาร์โจแรม) |
Botanical Name : Origanum majorana
Origin : Spain |
คุณสมบัติ : มีกลิ่นหอม บรรเทาความเครียดและกังวล ใช้กระจายกลิ่นในอากาศ จะช่วยให้นอนหลับสบาย มีผลต่อความสงบ และการผ่อนคลายระบบประสาท |
|
May Chang (เมชาง) |
Botanical Name : Litsea Cubeba
Origin : Australia |
คุณสมบัติ : ช่วยในการปรับสภาพผิวมัน จุดด่างดำ ผิวเป็นสิว ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด กดดัน มีสารไล่แมลง |
|
Myrrh (เมอห์) |
Botanical Name : Commiphora Myrrha
Origin : Africa |
คุณสมบัติ : มักใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องหอม มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค ลดอาการอักเสบ ลดรอยเหี่ยวย่น ช่วยปรับสภาพผิวมัน ทำให้จิตใจสดชื่น เบิกบาน |
|
Neroli (ดอกส้ม) |
Botanical Name :Citrus aurantium
Origin : Itary |
คุณสมบัติ : เป็นน้ำมันที่มีราคาแพงชนิดหนึ่ง กลิ่นหอมเหมาะสำหรับผู้หญิง เพราะช่วยปรับสภาพอารมณ์และจิตใจในช่วงมีประจำเดือน |
|
Nutmeg (ลูกจันทร์เทศ) |
Botanical Name : Myristica fragrans
Origin : India |
คุณสมบัติ : น้ำมันหอมระเหยใส ไม่มีสี มีคุณสมบัติในการกระตุ้นจิตใจ บรรเทาอาการเมื่อยล้า ทำให้สงบ ระงับการปวด อย่าใช้ในปริมาณมาก เพราะจำให้มึนงง |
|
Orange Sweet (ส้ม) |
Botanical Name : Citrus sinensis
Origin : Brazil |
คุณสมบัติ : ช่วยในการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อ ลดริ้วรอยและความเหี่ยวย่น ช่วยขับสารพิษ ให้ความสดชื่น ช่วยให้นอนหลับและฟื้นฟูพลังงาน ช่วยให้รู้สึกหายเหนื่อย |
|
Palmarosa (พัลมาโรซ่า) |
Botanical Name : Cymbopogon martini
Origin : India |
คุณสมบัติ : ฟื้นฟูอารมณ์ ช่วยให้สดชื่่น เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดรอยเหี่ยวย่น บรรเทาผิวเป็นสิว บรรเทาอาการผมร่วง ใช้ผสมน้ำมันนวดบรรเทาปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ |
|
Patchouli (พิมเสนต้นอินโดนิเซีย) |
Botanical Name : Pogostemon Cablin
Origin : Indonesia |
คุณสมบัติ : มีกลิ่นค่อนข้างหนัก ใช้บรรเทาผิวเป็นสิว ผิวแตก มีริ้วรอย สร้างเซลล์ผิว ช่วยขจัดรังแค บำรุงผม ช่วยต้านเชื้อราและแบคทีเรีย บรรเทาอาการเท้าเหม็น |
|
Peppermint (เปปเปอร์มินต์) |
Botanical Name : Mentha piperita
Origin : USA |
คุณสมบัติ : พืชตระกูลมินท์ กลิ่นสดชื่นทำให้รู้สึกระปี้กระเปร่า มีคุณสมบัติเด่นในการบรรเทาอาการปวดหัว แก้ผื่นคัน โรคผิวหนัง ลดการติดเชื้อ ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวด |
|
Petigrain (ใบส้มฝรั่ง) |
Botanical Name : Citrus aurantium
Origin : Paraguay |
คุณสมบัติ : ทำให้ผิวสะอาดสดชื่นและช่วยบรรเทาปัญหาผิวเป็นสิว ช่วยเกี่ยวกับปัญหาด้านอารมณ์ ความเครียด อาการซึมเศร้า ช่วยเสริมความจำ ทำให้สงบ เมื่อใช้กับผิวควรหลีกเลี่ยงแสงแดด |
|
Pine (ไม้สน) |
Botanical Name : Pinus pinaster
Origin : USA |
คุณสมบัติ : ขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ต้านเชื้อโรค ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาโรคในระบบทางเดินหายใจ ใช้ผสมกับน้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ข้ออักเสบ |
|
Pine Scotch (ไพน์สกอตช์) |
Botanical Name : Pinus sylvestris
Origin : France |
คุณสมบัติ : มีกลิ่นสดชื่น มีคุณสมบัติเด่นต่อระบบทางเดินหายใจ ใช้ได้ดีมากสำหรับผู้ที่เป็นหวัด ผสมน้ำมันนวดบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ เมื่อยล้าตามร่างกาย |
|
Plai (ไพล) |
Botanical Name : Zingiber montanum
Origin : Thailand |
คุณสมบัติ : บรรเทาอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ใช้สูดดมเมื่อเริ่มมีอาการไข้หวัด |
|
Ravensara (ลาเวนซาร่า) |
Botanical Name : Ravensara aromatica
Origin : Madacascar |
คุณสมบัติ : บรรเทาปัญหาระบบหายใจ ไซนัส ไข้หวัด แผลในปาก ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้นอนหลับง่าย ใช้ผสมน้ำมันนวดบรรเทาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง และช่วยบรรเทาอาการเท้าเหม็น |
|
Rosalina (โลซาลิน่า) |
Botanical Name : Melaleuca ericifolia
Origin : Australia |
คุณสมบัติ : มีสารประกอบหลัก คือ Linalool ซึ่งเป็นตัวยาฆ่าเชื้อ ยาระงับการชักเกร็งและชักกระตุกของกล้ามเนื้อ ช่วยระบบหายใจที่ติดเชื้อติดขัดในเด็ก ใช้เป็นยาขับเสมหะ ช่วยให้ผ่อนคลาย |
|
Rose Centifolia (กุหลาบพันธ์เซนทิโฟเลีย) |
Botanical Name : Rosa Centifolia
Origin : Morocco |
คุณสมบัติ : น้ำมันหอมกุหลาบช่วยทำให้ฮอร์โมนสมดุล ช่วยสร้างบรรยากาศด้านความรู้สึกผู้หญิง บรรเทาผิวเป็นสิว ผิวอักเสบ บำรุงผิวที่เหี่ยวย่น ควรหลีกเลี่ยงการใช้เมื่อตั้งครรภ์ |
|
Rosemary (โรสแมรี่) |
Botanical Name : Rosemarinus officinalis
Origin : Tunisia |
คุณสมบัติ : ใช้บรรเทาผิวเป็นสิว ผิวมัน ผิวหม่นหมอง กระตุ้นการงอกของเส้นผม ป้องกันและขจัดรังแค สูดดมบรรเทาอาการปวดศีรษะ นวดบรรเทาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลดเซลลูไลต์ ความดันสูงควรระวัง |
|
Rosewood (โรสวูด) |
Botanical Name : Aniba rosaeodora
Origin : Brazil |
คุณสมบัติ : บรรเทาผิวเป็นสิว ผิวเหี่ยวย่น ชะลอความแก่ เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย ปรับสภาพผิวมัน หนังศีรษะมัน แผลเป็น เนื้อลายและช่วยรักษาบาดแผล |
|
Sage Spanish (เสจ สเปนนิช) |
Botanical Name : Salvia lavandulifolia
Origin : Spain |
คุณสมบัติ : มีคุณสมบัติกระตุ้นพลังงาน ควบคุมรอบเดือน ฆ่าเชื้อโรค เพิ่มความดันโลหิต ห้ามใช้กับผู้ป่วยเป็นโรคลมชัก |
|
Sandalwood Australia (ไม้จันหอม) |
Botanical Name : Santalum album/spicata
Origin : Australia |
คุณสมบัติ : มีความสำคัญในการผลิตเครื่องหอม เนื่องจากเป็นตัวตรึงกลิ่นที่ดี กลิ่นมีความคงทน เหมาะกับผิวแห้งแตกเป็นสิว ช่วยบำรุงผิว บรรเทาอาการคันและการติดเชื้อในแผลที่อักเสบ |
|
Spearmint (สเปียรมินท์) |
Botanical Name : Mentha spicata
Origin : USA |
คุณสมบัติ : เป็นพืชตระกูลมิ้นท์ คุณสมบัติเด่นในการบรรเทาอาการปวดศีรษะ แก้ไอ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เหมาะกับการสูดดมมากกว่าทาบนผิว ทำให้สดชื่น กระปรี้ประเปร่า ลดความตึงเครียด |
|
Tangerine (ส้มเขียวหวาน) |
Botanical Name : Citrus reticulata
Origin : USA |
คุณสมบัติ : น้ำมันสีเหลืองใส กลิ่นสดชื่นมีชีวิตชีวา บรรเทาความเครียดและอาการนอนไม่หลับ เป็นกลิ่นที่ปลอดภัย ใช้กระจายกลิ่นเพื่อเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ในห้องของเด็กได้ |
|
Tea tree (ทีทรี) |
Botanical Name : Melaleuca alternifolia
Origin : Australia |
คุณสมบัติ : ใช้กับผิวที่มีปัญหาสิว ฝ้า น้ำกัดเท้า แผลไฟไหม้ ผื่นคัน แมลงกัดต่อย แผลติดเชื้อ ลดความมันบนผิวหนัง |
|
Thyme (ไทม์) |
Botanical Name : Thymus vulgaris
Origin : France |
คุณสมบัติ : สร้างความสมดุลของร่างกาย ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง ผิวผื่นคัน สิว ผิวอักเสบ ผสมน้ำมันนวดแก้ปวดเมื่อย ปวดบวมตามข้อ ใช้สูดดมบรรเทาโรคระบบทางเดินหายใจ |
|
Turmeric (ขมิ้น) |
Botanical Name : Thymus vulgaris
Origin : France |
คุณสมบัติ : ขมิ้นมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา บรรเทาโรคผิวหนัง กลากเกลื้อนและแมลงกัดต่อย ห้ามใช้กับหญิงตั้งครรภ์และระหว่างให้นมบุตร |
|
Vanilla Oleorasin (วนิลลา) |
Botanical Name : Vanilla planitifolia
Origin : Madacasca |
คุณสมบัติ : เป็นตัวกระตุ้นให้ความรู้สึกอบอุ่น ทำให้สงบและผ่อนคลาย ใช้กระจายกลิ่นเพื่อบรรเทาอาการเครียด |
|
Ylang Ylang (กระดังงา) |
Botanical Name : Cananga Odorata
Origin : France |
คุณสมบัติ : มีกลิ่นเย้ายวน ใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอางค์ ใช้เป็นสารคงตัวในน้ำหอม ให้ความรู้สึกอ่อนโยนเมื่อใช้นวดตัว ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต |
|
Vetiver (แฝกหอม) |
Botanical Name : Vetiveria zizanoides
Origin : Thailand |
คุณสมบัติ : แฝกหอมของไทยมีกลิ่นหอมที่สุดในโลก นิยมนำไปใช้ในการผลิตน้ำหอมและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพราะเป็นตัวตรึงที่สำคัญของสารที่ให้ความหอมอื่น ใช้ได้กับผู้มีปัญหาผิวมัน ปวดกล้ามเนื้อ |
3. วิตามิน (Vitamins)
ความจริงแล้วร่างกายของคนเราต้องการวิตามินเพียงวันละเล็กน้อย ไม่ได้มากมายอะไร แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราสามารถจะขาดวิตามินได้ เพราะเราไม่กินอาหารที่มีวิตามินชนิดใดเข้าไป ก็อาจทำให้เราเป็นโรคต่างๆ ตามมาได้ เนื่องจากวิตามินเป็นตัวสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
นอกจากในเรื่องของการสร้างภูมิคุ้มกันโรคแล้ว วิตามินยังมีหน้าที่อย่างอื่นด้วย อย่างเช่น มีหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดแดง สร้างกระดูก ช่วยในเรื่องระบบการทำงานของระบบประสาท ช่วยในเรื่องของการสร้างการมองเห็นอีกด้วย
ปัจจุบันมีวิตามินหลายชนิดมาก แต่วิตามินเหล่านั้นก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. วิตามินที่ละลายในน้ำ
เป็นวิตามินที่ไม่มีการสะสมในร่างกาย เราจะต้องกินเข้าไปวันต่อวันและเป็นวิตามินที่เสื่อมสลายได้ง่าย หากว่าโดนความร้อน ดังนั้นหากว่าเราต้องการวิตามินชนิดที่ละลายน้ำ เราจะต้องกินสดๆ จึงจะได้คุณค่าทางอาหารและวิตามินอย่างครบครัน แต่วิตามินนี้ก็มีข้อดีตรงที่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ง่าย ซึ่งวิตามินที่ละลายในน้ำก็ได้แก่ วิตามินบีรวม ไบโอตินโคไลน์ อินโนซิทอล และวิตามินซี
2. วิตามินที่ละลายในน้ำมัน
วิตามินที่ละลายในน้ำมันนั้น เป็นวิตามินที่ค่อนข้างจะทนความร้อนได้ดี หากว่านำไปประกอบอาหาร วิตามินเหล่านี้ก็ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งอาจหายไปบางส่วน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด วิตามินกลุ่มนี้ หากว่าเรากินเข้าไปมาก ก็สามารถสะสมในร่างกายมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ แต่ละวิตามินส่งผลเสียอย่างไรบ้าง ติดตามในรายละเอียดต่อไป วิตามินที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค
1) วิตามินเอ (Vitamin A) - โรคตา
วิตามินช่วยเรื่องลายตาม เพราะว่าวิตามินเอเป็นวิตามินที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการบำรุงสายตา ซึ่งวิตามินเอเป็นวิตามินที่ช่วยรักษาโรคตาบอดในตอนกลางคืน ซึ่งอาการของคนที่ตาบอดก็คือ มองเห็นในที่มืดได้ลำบากกว่าคนทั่วไป
นอกจากจะช่วยรักษาโรคตาบอดกลางคืนแล้ว วิตามินเอยังช่วยในเรื่องของภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งหากว่าเราขาดวิตามินเอแล้วติดเชื้อมา อาการของเราก็จะร้ายแรงกว่าคนที่ได้รับวิตามินเอเพียงพอ นอกจากนี้ วิตามินเอยังช่วยในเรื่องของกระดูก อวัยวะสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของผิวหนัง ทั้งยังช่วยป้องกันและยับยั้งการกระจายของโรคมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย และที่สำคัญหากว่าเรากำลังตั้งครรภ์อยู่ เราห้ามขาดวิตามินเอเป็นอันขาด เพราะวิตามินเอเป็นวิตามินสำคัญที่เข้าไปช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตของเด็กทารก
หากว่าร่างกายขาดวิตามินเอ จะเกิดผลกระทบต่อผิวหนังที่จะแห้งหยาบ เกิดการติดเชื้อได้ง่าย และที่สำคัญก็คือ เกิดสภาวะตาบอดกลางคืนนั่นเอง และหากว่าร่างกายของเราขาดวิตามินเออย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะทำให้ตาบอดได้
ผลกระทบในส่วนที่ได้รับวิตามินเอเกินขนาด วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ดังนั้นร่างกายของเราจึงมีการสะสมและหากว่ามีการสะสมมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดอาการอาเจียน ปวดศรีษะ สมองบวม หมดเรี่ยวแรง ปวดข้อ ท้องผูก ผิวหยาบ ตับและต่อมน้ำเหลืองโต ส่วนในหญิงมีครรภ์นั้น อาจจะร้ายแรงถึงขั้นพิการหรือเกิดความผิดปรกติของทางเดินปัสสาวะ หรือทำให้กระดูกผิดรูปร่าง
แต่อย่างไรก็ดีสำหรับคนทั่วไปนั้น อาการผิดปรกติของการรับวิตามินเอเกิดขนาดจะหมดไป เมื่อเราหยุดกินวิตามินเอมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ แต่เราก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องเราจะกินวิตามินเอเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ เพราะคนที่มีอาการของการได้รับวิตามินเอเกินขนาด จะเป็นเพราะกินอาหารเสริมประเภทวิตามินเอเข้าไป
ในอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ เราสามารถหาวิตามินเอได้จากตับ โดยเฉพาะตับปลา ผักสีเขียวเข้า เนยเหลว แคนตาลูป แครอต ผักโขม ฟักทอง เป็นต้น
ตามปรกติแล้วเราไม่จำเป็นต้องกินวิตามินเอที่เป็นอาหารเสริม นอกจากเราอยู่ในกลุ่มดังต่อไปนี้
- โรคหัด
- โรคลำไส้
- มีอาการติดเชื้อ
- โรคตับอ่อน
- โรคตา
- ผ่าตัดเอากระเพาะอาหารออกบางส่วน
- ท้องร่วง
2. วิตามินบี 1 (Vitamin B1) - โรคเหน็บชา
วิตามินบี 1 เป็นวิตามินชนิดที่ละลายในน้ำ มีหน้าที่เผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โดยจะช่วยเปลี่ยนน้ำตาล (คาร์โบไฮเดรต -> น้ำตาล) เป็นพลังงาน และช่วยทำให้ร่างกายของเราสามารถนำพลังงานไปใช้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าวิตามินบี 1 ยังช่วยเรื่องของโรคท้องร่วง ความเหนื่อยล้า โรคผิวหนัง เส้นเลือดตีบแบบหลากหลาย ปัญหาทางจิตเวช เป็นต้น
หากว่าร่างกายขาดวิตามินบี 1 แน่นอนที่สุดก็จะเป็นโรคเหน็บชา ซึ่งจะมีผลทางด้านหัวใจ ระบบประสาท กระเพาะและลำไส้ ซึ่งอาการเบื้องต้นของคนที่ขาดวิตามินบี 1 ก็คือ จะมีอาการปวดศรีษะ เท้าหรือน่องบวม ท้องผูก รู้สึกอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง ไม่อยากอาหาร เครียด ระบบประสาทรวน จำอะไรไม่ค่อยได้ หัวใจเต้นเร็ว
เราสามารถพบวิตามินบี 1 ได้จากธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี เมล็ดดอกทานตะวัน ถั่วชนิดต่างๆ เนื้อวัวไม่ติดมัน ตับ งา ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต รำข้าว เป็นต้น
มีคนบางกลุ่มต้องการวิตามินบี 1 มากกว่าคนปรกติ เพื่อไปเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ซึ่งหากว่าเราเกิดภาวะเช่นนี้ขึ้น ก็ให้เรากินวิตามินบี 1 เพิ่มเติมมากขึ้น ซึ่งอาจจะกินจากอาหาร หรือว่ารับมาจากแคปซูนก็ได้ ซึ่งก็ได้แก่
- เป็นไข้หรือว่าเจ็บป่วยเรื้อรัง
- ท้องร่วงเรื้อรัง
- เป็นแผลถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก
- ติดเหล้า
- เครียดหรือมีปัญหาทางจิตเวช
- ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป
- เป็นโรคตับ
- โรคลำไส้
- ผู้ใช้แรงงานมาก
- ผู้ป่วยที่ใช้ไตเทียม
- ผู้ที่ผ่าตัดเอากระเพาะอาหารออก
3. วิตามินบี 2 (Vitamin B2) - โลหิตจาง
หน้าที่ของวิตามินบี 2 ที่สำคัญคือ ช่วยในระบบการย่อยอาหารและการเผาผลาญอาหารเป็นพลังงานในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในเรื่องการเจริญเติบโต โดยมีส่วนร่วมในการทำงานของเซลล์ ซึ่งหากว่าขาดวิตามิน 2 ไป เซลล์ก็อาจมีปัญหาในการทำงานได้
หากเราขาดวิตามินบี 2 หรือว่าได้รับในปริมาณที่น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ จะมีอาการคอบวม อ่อนเพลีย ผิวหนังมีอาการแตกและระคายเคือง มีอาการโรคโลหิตจาง ซึ่งโอกาสของคนที่ขาดวิตามินบี 2 นั้น มักจะอยู่ในกลุ่มของผู้สูงอายุ คนที่เจ็บป่วยเรื้อรัง ติดเหล้า และคนที่มีฐานะยากจน
เราสามารถพบวิตามินบี 2 ได้มากในอาหารจำพวก นม เนื้อ ไก่ ไข่ เนย ตับ จมูกข้าวสาลี ยีสต์ สาเก อัลมอนต์ ครีม ชีส มัสตาร์ดสีเขียว เกสรน้ำผึ้ง ลูกพรุน เป็นต้น
กลุ่มคนที่ต้องการวิตามินบี 2 มากกว่าคนอื่น เพื่อไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งกลุ่มนั้นได้แก่
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ และผู้ที่ให้นมบุตร
- คนที่กินยาคุมกำเนิด
- ผู้ที่สูบบุหรี่
- ผู้ที่เป็นโรคดีซ่าน
- ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางชนิดธาตุเหล็ก
- ผู้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต้อกระจก
- คนที่เป็นโรคบูลีเมีย
- มีความเสี่ยงที่จะเป็นมาลาเรีย
- เครียดจัด
- ปวดศรีษะไมเกรน
- มะเร็งหลอดอาหาร
4. วิตามินบี 3 (Vitamin B3) - เรื่องคอเลสเตอรอลในเลือด
วิตามินบี 3 ช่วยในเรื่องของการลดคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งเหมาะกับคนที่สูงอายุแล้ว นอกจากนี้ ยังช่วยเรื่องรักษาสิว การต่อต้านริ้วรอยต่างๆ ป้องกันโรคมะเร็ง โรคต้อกระจก ระบบประสาทต่างๆ โรคนอนไม่หลับ ปวดประจำเดือน โรคตับ โรคทางจิตเวช โรคแผลในกระเพาะอาหาร อาการหน้ามืด วิงเวียน และอื่นๆ อีกมากมาย
หากว่าขาดวิตามินบี 3 แล้ว ร่างกายจะได้รับผลกระทบต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกียวกับทางเดินอาหาร การติดเชื้อ เกิดภาวะไทรอยด์กำเริบ ผิวหนังอักเสบ ท้องเสีย และมีอาการเกี่ยวกับประสาท หรือภาวะจิตใจ
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 3 ได้แก่ ปลา นม ไข่ ยีสต์ เนื้อสัตว์ ผักสีเขียว ซีเรียล ธัญพืช ตับ ถั่วลิสง ปลาแซลมอน ปลาดาวลาว ปลาทูน่า ไก่งวง เนื้อลูกวัว เมล็ดดอกทานตะวัน ข้าวสาลี เป็นต้น
กลุ่มคนที่ต้องการวิตามินบี 3 มากกว่าคนอื่น เพื่อไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งกลุ่มนั้นได้แก่
- กลุ่มคนที่มีคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ป่วยโรคหัวใจ
- ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน
- ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดแข็ง
- โรคไขข้ออักเสบ
- ผู้ที่เป็นไทรอยด์
- ผู้ที่สูบบุหรี่
- ผู้ที่ตั้งครรค์ หรือให้นมลูก
5. วิตามินบี 5 (Vitamin B5) - โรคมือเท้าชา
วิตามินบี 5 ช่วยในเรื่องการเผาผลาญสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ซึ่งก็เหมือนกับวิตามินบีรวมอื่นๆ ที่ช่วยแปรสภาพอาหารในร่างการให้กลายเป็นพลังงาน ซึ่งหากว่าเราขาดวิตามินตัวนี้ไป เราก็อาจจะต้องตามได้
นอกจากวิตามินบี 5 ช่วยเรื่องเผาผลาญแล้ว ยังช่วยเรื่องระบบประสาท โดยช่วยรักษาภาวะที่ประสาทถูกทำลาย หรือช่วยในเรื่องปัญหาด้านผิวหนัง การหายใจ ป้องกันผมหงอก ภูมิแพ้ โรคไขข้ออักเสบ ภาวะเป็นพิษจากการใช้ยา และช่วยในเรื่องของจิตใจด้วย
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 5 ได้แก่ ข้าวโพด ไข่แดง ถั่วเมล็ดกลม ถั่วลิสง อโวคาโด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยีสต์ จมูก ข้าวสาลี ปลาแซลมอน ถั่วเหลือง กุ้งมังกร ปลาซาร์ดีน เป็นต้น
แม้ว่าเราจะมีโอกาสขาดวิตามินบี 5 ตัวนี้ได้น้อย แต่ถ้าขาดแล้ว จะทำให้เรานอนไม่สนิท มือเท้าชา กล้ามเนื้อกระตุก และเป็นตะคิวได้ง่าย คลื่นไส้ ปวดหัว ไม่มีแรง ปวดกระเพาะ ท้องเดิน ซึ่งปัญหาการขาดวิตามินตัวนี้ มักจะเกิดกับผู้ที่ขาดอาหารอย่างต่อเนื่อง
6. วิตามินบี 6 (Vitamin B6) - โรคภูมิแพ้
วิตามินบี 6 ช่วยในเรื่องการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง การเจริญเติบโตของร่างกาย วิตามินบี 6 นี้จะช่วยย่อยอาหารประเภทโปรตีนที่เป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง นอกจากนี้ ยังเป็นวิตามินที่ช่วยเร่งการผลิตเฮโมโกลบิน เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย ที่สำคัญสำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ ควรจะกินวิตามินบี 6 เข้าไปมากๆ เพราะเป็นวิตามินที่ช่วยทำให้อาการของโรคภูมิแพ้ทุเลาลงไป
หากขาดวิตามินบี 6 แล้ว จะทำให้เรามีอาการผิดปรกติทางระบบประสาท มีอาการหงุดหงิด งุ่นง่าน มือเท้าชา ผิวหนังมีผื่นขึ้น และหากว่าขาดวิตามินนี้เป็นเวลานานๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการชักได้ และที่สำคัญอาจจะทำให้กลายเป็นโรคโลหิตจางได้อีกด้วย
อาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่มาก ได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เมล็ดพืชต่างๆ ปลา ไข่ ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน รำข้าว ข้าวขาว ตับ รำข้าวสาลี ยีสต์ อโวคาโด กล้วย เฮเซลนัต ถั่วลิสง ถั่วเหลือง เมล็ดดอกทานตะวัน เป็นต้น
กลุ่มคนที่ต้องการวิตามินบี 6 มากกว่าคนอื่น เพื่อไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งกลุ่มนั้นได้แก่
- ผู้ที่ฟอกไต
- ผู้ที่เป็นโรคตับ
- ผู้ที่ป่วยโรคหัวใจ
- ผู้ที่ท้องร่วง
- ผู้ที่มีแผลพุพองหรือน้ำร้อนลวก หรือถูกไฟไหม้
- ผู้ที่มีความเครียด
- ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้
- ผู้ที่ติดเหล้า
- ต่อมไทลอยด์ทำงานมากกว่าปรกติ
- ทารกที่เลี้ยงด้วยนมข้นหวาน
7. วิตามินบี 9 (Vitamin B9) หรือกรดโฟลิค - โรคโลหิตจาง
วิตามินบี 9 เป็นวิตามินที่ร่างกายต้องการในปริมาณที่ไม่มาก วิตามินบี 9 เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนคู่ซี้กับวิตามินบี 12 เลยทีเดียว เพราะว่าทำงานด้วยกับบ่อยมาก ที่สำคัญก็คือ การสร้างเม็ดเลือดแดงที่ดีพร้อม นอกจากนี้ ยังจำเป็นสำหรับเรื่องการแบ่งเซลล์อีกด้วย
หากว่าเราขาดวิตามินบี 9 เราจะมีปัญหาเกี่ยวกับเลือด เพราะร่างกายของเราจะผลิตเม็ดเลือดแดงได้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจจะทำให้เป็นโรคโลหิตจางได้ นอกจากนี้ การขาดวิตามินบี 9 ในช่วงระยะสามเดือนแรกที่ตั้งครรภ์ ก็อาจจะมีผลต่อเด็กในท้อง ทำให้พัฒนาการผิดปรกติได้ ซึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าเรากำลังขาดวิตามินบี 9 ก็คือ หงุดหงิดง่าย ไม่มีแรง อ่อนล้าอ่อนเพลีย นอนไม่ค่อยหลับ หน้าไม่มีสี ดูซีดเซียว
อาหารที่มีวิตามินบี 9 อยู่มาก ได้แก่ เมล็ดทานตะวัน ธัญพืช ตับ เป็นต้น
กลุ่มคนที่ต้องการวิตามินบี 9 มากกว่าคนอื่น เพื่อไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งกลุ่มนั้นได้แก่
- ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง
- ผู้ที่ติดเหล้า
- ผู้ที่เป็นโรคตับ
- ผู้ที่ต้องฟอกไต
- ผู้ที่ตั้งครรภ์
- ผู้ที่กินหรือใช้ยาคุมกำเนิด
- ผู้ที่มีปัญหาด้านลำไส้
- ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
- ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือด
- ผู้ที่เป็นไข้เรื้อรัง
- ผู้ที่เจ็บป่วยเป็นเวลานาน
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องความเครียด
- ผู้ที่ตัดกระเพาะอาหารออกบางส่วน
- ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก
- ทารกที่ถูกเลี้ยงด้วยนมข้นหวาน
8. วิตามินบี 12 (Vitamin B12) - โรคระบบประสาทและสมอง
วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่ไม่สามารถหาในพืชได้ เพราะวิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่สร้างมาจากแบคทีเรียในสิ่งแวดล้อม ซึ่งในส่วนใหญ่แล้วก็อาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของสัตว์ที่เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว หรือควายนั่นเอง
วิตามินบี 12 เป็นวิตามินที่ทำงานร่วมกับวิตามินบี 9 หรือ กรดโฟลิก ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทำให้การสร้างเม็ดเลือดมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนั้น ยังช่วยในเรื่องการแบ่งตัวของเซลล์อีกด้วย ซึ่งการทำงานจะต้องควบคู่ไปกับวิตามินบี 9 ขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้
อาหารที่มีวิตามินบี 12 อยู่มาก ได้แก่ เนื้อวัว หอย เนื้อไก่ ไข่ นม นมถั่วเหลือง เป็นต้น
กลุ่มคนที่ต้องการวิตามินบี 6 มากกว่าคนอื่น เพื่อไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งกลุ่มนั้นได้แก่
- ผู้ที่กินมังสวิรัติ
- ผู้ที่ติดเหล้า
- ผู้ที่เป็นไข้เรื้อรัง
- ผู้ที่มีปัญหาเรื่องลำไส้
- ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง
- ผู้ที่เป็นโรคตับ
- ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ
- ผู้ที่เป็นไทรอยด์
- ผู้ที่มีอาการติดเชื้อ
- ผู้ที่เป็นโรคไต
- ผู้ที่ติดเชื้อพยาธิ
- ผู้ที่มีความผิดปรกติทางพันธุกรรม
- ผู้ที่เครียดเป็นเวลานาน
9. วิตามินซี (Vitamin C) - โรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟัน
วิตามินซีช่วยในเรื่องโรคหวัด โรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟัน และหน้าที่ที่สำคัญอีกประการของวิตามินซี ก็คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยในเรื่องของเซลล์ต่างๆ เป็นตัวสมานแผลที่เกิดขึ้นในร่างกายของเรา
นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยเรื่องความเหนื่อยล้า ผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้นในร่างกาย และช่วยทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรงไม่แตกง่ายอีกด้วย หน้าที่อีกประการหนึ่งของวิตามินซีก็คือ ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งหากว่าเราเป็นโรคโลหิตจางแบบที่ขาดธาตุเหล็ก การกินอาหารที่มีธาตุเหล็กกับวิตามินซีในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ก็จะช่วยลดอาการขาดธาตุเหล็กได้ สุดท้ายหน้าที่สำคัญของวิตามินซีก็คือ ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้ามาในร่างกายของเรา ทำให้เราไม่เป็นโรคหรือเกิดอาการติดเชื้อนั่นเอง
อาหารที่มีวิตามินซี อยู่มาก ได้แก่ ผักผลไม้ทั่วไป ลูกพลัม เป็นต้น
กลุ่มคนที่ต้องการวิตามินซี มากกว่าคนอื่น เพื่อไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งกลุ่มนั้นได้แก่
- ผู้ที่เป็นมะเร็ง
- ผู้ที่เป็นไข้มาระยะเวลานาน
- ผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่ติดเหล้า
- ผู้ที่เป็นโรคลำไส้
- ผู้ที่เป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ หรือต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป
- ผู้ที่เป็นโรควัณโรค
- ผู้ที่เป็นโรคเครียด
- ผู้ที่มีอาการติดเชื้อ
- ผู้ที่สูบบุหรี่
- ผู้ที่ผ่านการผ่าตัด
- ผู้ที่ฟอกเลือดล้างไต
- ผู้ที่อยู่ในที่ที่อากาศหนาวเย็น
- ผู้สูงอายุ
- ผู้ที่มีแผลไฟลวก หรือผิวหนังถูกทำลาย
10. วิตามินดี (Vitamin D) - โรคกระดูก
ร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เอง เพียงแค่เราได้รับแสงแดดในช่วงก่อน 8 โมงเช้า ซึ่งหากว่าเราเป็นคนที่ตื่นเช้าไปเจอแดดสักหน่อย เราก็คงจะไม่มีอาการขาดวิตามินดีแน่นอน
แม้ว่าร่างกายของเราต้องการวิตามินดีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่วิตามินดีเป็นวิตามินที่ให้คุณค่าเป็นอย่างมาก โดยวิตามินดีจะเข้าไปบำรุงกระดูกของเราให้แข็งแรงทนทาน ไม่เป็นโรคกระดูกอ่อนหรือกระดูกผุ เพราะว่าวิตามินชนิดนี้จะเข้าไปรักษาระดับของแคลเซียมให้อยู่ในปริมาณที่เป็นปรกติ
หากว่าร่างกายขาดวิตามินดี จะทำให้เราเป็นโรคกระดูก ไม่ว่าจะเป็นโรคกระดูกอ่อน หรือ โรคกระดูกผุ นอกจากนี้อาจจะเป็นโรคไตวาย ฟันขึ้นช้า มีอาการเซื่องซึม ไม่สดชื่นอีกด้วย
อาหารที่มีวิตามินดี อยู่มาก ได้แก่ เห็ด น้ำมันตับปลา ปลาทูน่า ปลาซาดีน ปลาแซลมอน เนยเทียม กุ้ง เมล็ดดอกทานตะวัน ไข่ไก่ เป็นต้น
กลุ่มคนที่ต้องการวิตามินดี มากกว่าคนอื่น เพื่อไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งกลุ่มนั้นได้แก่
- ผู้ที่เป็นโรคไต
- ผู้ที่ติดเหล้า
- ผู้ที่เป็นโรคตับ
- ผู้ที่เป็นโรคตับอ่อน
- ผู้ที่ผ่าตัดเอากระเพาะอาหารบางส่วนออกไป
- ผู้ที่มีต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากกว่าปรกติ เนื่องจากไตวาย
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคลำไส้
- ผู้ที่ไม่ค่อยได้รับแสงแดด
- ผู้ที่มีผิวคล้ำหรือดำ
11. วิตามินอี (Vitamin E) - โรคผิวหนัง
วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีความสำคัญมาก เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และช่วยในส่วนของเซลล์ซึ่งเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของคนเรา โดยจะช่วยป้องกันผนังเซลล์ และป้องกันการทำลายเซลล์ต่างๆ นอกจากนี้ วิตามินอียังขึ้นชื่อว่าเป็นวิตามินชะลอความแก่ เพราะเชื่อกันว่า ผู้ที่ได้รับวิตามินอีในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยทำให้เซลล์ผิวมีความอ่อนเยาว์และเปร่งปรั่งอยู่เสมอ
หากว่าเราขาดวิตามินอี เราจะเป็นโรคโลหิตจาง ตับถูกทำลาย หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเป็นหมัน หัวใจเสื่อม กล้ามเนื้อฝ่อ เกิดริ้วรอยต่างๆ ก่อนวัย
อาหารที่มีวิตามินอี อยู่มาก ได้แก่ จมูกข้าวสาลี น้ำมันเมล็ดฝ้าย เฮเซลนนัต เมล็ดดอกทานตะวัน อัลมอนด์ เมล็ดดอกคำฝอย ข้าวสาลีบดทั้งเปลือก เป็นต้น
กลุ่มคนที่ต้องการวิตามินอี มากกว่าคนอื่น เพื่อไปเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งกลุ่มนั้นได้แก่
- ผู้ที่มีปัญหาด้านผิวหนัง
- ผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง
- ผู้ที่เป็นโรคตับ
- ผู้ที่เป็นโรคตับอ่อน
- ผู้ที่ผ่าตัดเอากระเพาะอาหารบางส่วนออกไป
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคลำไส้
12. วิตามินเค (Vitamin K) - โรคเลือดไม่แข็งตัว หรือ โรคเลือดไหลไม่หยุด
วิตามินเคมีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว เป็นลิ่ม เป็นโปรแกรมที่ป้องกันเลือดออกจนหมดตัว ส่วนหน้าที่อื่นๆ ก็มีในเรื่องของการสร้างกระดูกและโปรตีน
หากขาดวิตามินเค เราจะมีปัญหากับน้ำดีที่มีปริมาณน้ำไม่พอที่จะดูดซับไขมัน ซึ่งเป็นตัวทำละลายของวิตามินเค เราก็จะรู้ได้จากการที่เวลาที่เป็นแผลแล้วเลือดหยุดยาก หรือนานกว่าจะหยุด และมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด เลือดออกในกระเพาะอาหาร เลือดกำเดาไหลออกง่าย และอาจจะมีจุดเป็นจ้ำๆ ตามตัว และอาจจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือดอีกด้วย
อาหารที่มีวิตามินเค อยู่มาก ได้แก่ ผักโขม กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ถั่วเหลือง เนยแข็งเชดาร์ คาเมมเบิร์ต ชาเขียว ข้าวโอ๊ต บร็อกโคลี ผักกาดหอม เป็นต้น
Sources :
http://www.chagrinvalleysoapandsalve.com
http://www.atreyeeimpex.com
http://topicstock.pantip.com
http://buytropicalife.com/
หนังสือ : อุษณีย์ กัลยาณมิตร. (2550). วิตามิน และสารอาหารเพื่อสุขภาพดี ชะลอวัย: กรุงเทพมหานคร. เพชรสีน้ำเงิน
|